ตอนที่ 9 อกหัก
เช้าวันที่สดใส ดวงอาทิตย์กลมโตสีส้มแดงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก ช่วงเวลาระหว่างนั้นยังมีความงดงามแฝงอยู่มากมาย... ช่วงเวลาเช้า ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนตัวออก แสงสีส้มอ่อนสาดส่องลงบนพื้นดินและผืนหญ้าก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง
ฉันชอบช่วงเวลาเช้ามากที่สุด โดยเฉพาะช่วงที่แสงของดวงอาทิตย์ส่องลงบนลานหญ้าที่มีสีเขียวขจีและมีมีหมอกบาง ๆ สีสวยงามบนยอดหญ้า ในขณะที่แสงแดดอ่อนค่อย ๆ ทอดแสงจากระเบียงมายังปลายเตียงของไอร้อนจากแสงแดดสัมผัสกับขาเรียวที่ยื่นออกมานอกผ้าห่มเพียงเล็กน้อย ทำให้ขาเรียวชักขากลับเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มตามเดิม สายลมหอบไอร้อนจากแสงแดดพัดลอดหน้าต่างที่แง้มไว้เข้ามาภายในห้อง กระทบเข้ากับโมบายขนนกห้อยด้วยกระดิ่งสีทองที่แขวนไว้ริมหน้าต่าง เสียงกระดิ่งดัง
กริ๊งๆๆ ทำให้ฉันลืมตาตื่นแล้วเดินงัวเงียไปอาบน้ำ วันนี้ทั้งวันันไม่ได้ไปไหนเลย ฉันได้เเต่เดินไปมาอยู่ภายในบ้าน ทุกเช้าฉันจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง สาม สี่รอบ แต่แปลกจังวันนี้พี่ดิวไม่โทรมาฉันเลย ฉันหยิบโทรศัพท์ แล้ววางลงเหมือนเดิม ความรู้สึกตอนี้เริ่มจะสับสน เคยเป็นไหม เวลที่เราคิดถึงใครสักคน เราจะรู้สึกทรมานเพราะเราคิดไปเองว่าเขาคนนั้นจะไม่คิดถึงเรา ถึงเเม้ว่าการที่เราคิดถึงใครคนนั้นจะเป็นทุกข์บ้าง ทำให้เราต้องมานั่งคิดกระวนกระวายนั้น เเต่ลึกๆแล้ว เราก็รู้สึกชุมชื่นหัวใจ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารอบที่สิบ ฉันนั่งจ้องมื้อถืออยู่ครู่หนึ่งแล้วแล้วว่างโทรศัพท์ลงที่โต๊ะ ฉันได้แต่นั่งมองโทรศัพท์
....... มาได้ไกลเพียงนี้ นับว่าก็ดีเกินพอที่เหลือที่รอก็แค่คำสั่งให้ประหาร โอ้ว โอว โอ้ว...... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันรีบกดรับโทรศัพท์ เพราะคิว่าอาจจะเป็นพี่ดิว
"ฮัลโหล พี่ดิว" ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ แต่เสียงที่ตอบกลับมาคือพนักงานที่คอเซ็นเตอร์ มือของันวางโทรศัพท์ลงอย่างเชือกช้า ฉันมองผ่านไปทางหน้าต่าง เพราะคิดว่าเขาจะปรากฎตัวขึ้นมา เวลามาหาฉันเหมือนทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีมีแม้แต่คนเดียว ฉันพยายามยือทุกอย่าง เพราะหลายวันมานี้เขามีทางที่กังวล แต่คงผิดที่ฉันเองที่ไม่กล้าจะถามและฝังคำตอบนั้นเอง เพราะฉันไม่ใช่คนที่เข้มเเข็งที่จะทนรับความรู้สึกนั้นได้ และก็ไม่เเข็งเกร่งพอที่จะตัดใจจากความรัก ฉันหยิบโทรศัพท์โทรหาเเครอทเพื่อนสนิทของฉัน
"แครอทแก่ทำอะไรอยู่หรอ"
"ฉันไม่ได้ทำอะไร เเก่ละสบายดีไหม"
"อืม ก็ดีนะทริปปีนี้ก็สนุกดี"
"ได้ข่าวว่าไปยกครัวเลยนิ คงหวานน่าดู" ^^
"หวานบ้าไรยะ นี่ไม่ได้คุยกันหลายวันเเล้วไม่รู้หายไปไหน"
"เผื่อใจไว้หน่อยนะเเกผู้ชายเชื่อใจไม่ได้หรอกนะ เเค่นี้ก่อนนะเเม่เรียกเเล้ว"
"อือ ๆ ไว้เจอกันลกัน บ๊ายยย"
สิ้นสุดเสียงเเครอททำให้ฉันยิ่งคิดกลุ้มใจ เรื่องความรักมันทำให้คนเรารู้สึกได้มากขนาดนเลยหรอเนี้ย...
ฉันเดินไปหยิบกาเเฟทีี่โต๊ะแล้วนั่งเล่นเกมอยู่คร่หนึ่ง
........มาได้ไกลเพียงนี้ นับว่าก็ดีเกินพอที่เหลือที่รอก็แค่คำสั่งให้ประหาร โอ้ว โอว โอ้ว......เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นครั้งที่สอง ฉันหยิบขึ้นมาดูเบอร์ที่โชว์อยู้หน้าจอคือเบอร์ของพี่ดิว ฉันดีใจและรู้สึกน้อยใจปะปนอยู่ในใจฉัน ฉันกดรับโทรศัพท์โดยที่ไม่เอยปากถามพี่ดิวแม้เเต่คำเดียว
"ผักหวาน ฮัลโหล ผักหวานได้ยินไหม"
"ได้ยินค่ะ พี่ดิวทำอะไรอยู่หรอคะ"
"พี่อยู่กับเพื่อนค่ะ ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยวาง"
"ค่ะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า
"เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงเศร้า ๆ"
"เปล่า ค่ะ"
"ถ้าไม่อยากคุยวันหลังพี่จะไม่โทรไปล้วก็ได้"
พี่ดิวพูดด้วยเสียงดุดันแล้ววางสายโดยที่ฉันยังไม่ได้ตอบโต้อะไเลย ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ออกมาจากน้ำเสียงที่ดุร้ายของพี่ดิวมันรู้สึกได้ว่า ความรักของเรามันต้องการพักเพียงเท่านี้ จากความคุ้นเคย สะสมบ่มเพราะด้วยเวลา ที่มีนานาน แต่เพียงไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง เหมือนมีบางอย่างพรากสิ่งที่คุนเคยจากฉันไป คุ้มค่าไหมกับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ ันได้เเต่นั่งถามหัวใจตัวเอง หลังจากวันนั้น ฉันเเละพี่ดิวก็ไม่มีการติดต่อกันอีกเลย ฉันได้เเต่นั่งคิดถึงเรื่องเดิม ๆ ทุกอย่างมันผุดขึ้นมาให้ฉันได้คิดอยู่ตลอดเวลา ฉันเอาเเต่เก็บตัวอยู่นห้องไม่ยอมเจอหน้าใคร ถ้าวันนี้เราเป็นแค่คนห่างไกล เเล้วเธอก็รู้สึกเช่นนั้น แันก็คงจะไม่โทษใคร ถ้าความรักเเละความจิงใจของฉันไม่มีค่าพอ และถ้าวันนี้เธอก็ยังเป็นเธอฉะันก็ยังเป็นฉัน เเละทุกวันเหมือนฉันนั้นต้องวิ่ตามเงาของเธอ ที่บางครั้งอาจจะจับต้องได้เเต่สุดท้ายเธอก็คือเงา ฉันนั่งอยู่ภายในห้องสีเหลี่ยม ที่ว่างเปล่า มีเพียงเสียงสะอื่นและน้ำตาที่ไหลเต็มทั้งสองเเก้ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น